Top 10 Ecommerce Platforms | เว็บไซต์สำหรับช้อปปิ้งออนไลน์ 2019
การก้าวเข้าสู่ปี 2019 เหล่านักการตลาดและเจ้าของธุรกิจขนาด ย่อมต่างกำลังคิดถึงการวางแผนงานเพื่อหาเครื่องมือหรือตัวช่วยในการทำการตลาด วันนี้แอดมินจะมาพบกับเครื่องมือที่ดีที่ในส่วนของแพลตฟอร์ม ที่จะทำให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จในการทำเว็บไซต์ Ecommerce หรือเว็บช้อปปิ้งออนไลน์ นั่นเอง
1. Magento
คุณกำลังวางแผนที่จะขยายธุรกิจของคุณให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิมใช่หรือไม่..? Magento ถือว่าเป็นแพลตฟอร์มอันดับต้นๆ ของการพัฒนาเว็บไซต์ Ecommerce เพราะมันถูกสร้างขึ้นเพื่อเปลี่ยนธุรกิจขนาดเล็กให้เป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ขึ้นด้วยความที่ระบบมีความยืดหยุ่น ผู้ดูแลและเชี่ยวชาญ สามารถจัดการกับระบบได้อย่างอิสระ ปรับแต่งได้ทุกอย่าง และไม่ผูกขาดกับ Host เหมือนแพลตฟอร์มอื่นๆ ระบบรองรับการชำระเงินทุกช่องทางและยังสามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบอื่นๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีธีม รูปแบบ ให้เลือกมากมาย ปัจจุบัน Magento พัฒนาเป็น Version 2 แล้ว ปัจจุบัน Magento ถูกนำไปใช้กับเว็บไซต์ดังๆ ทั่วโลก มากกว่า 100,000 เว็บไซต์ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Magento
2. BigCommerce
BigCommerce ระบบเว็บไซต์ Ecommerce ที่น่าดึงดูดใจรูปแบบสวยงาม และสามารถใช้งานร่วมกับ Facebook , eBay , Amazon และเครือข่ายอื่นๆได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึงการช่วยคุณจัดการเรื่องการชำระเงิน ขนส่ง และการจัดการคลังสินค้าของคุณ ถ้าคุณต้องการแพลตฟอร์มที่มีกระบวนการที่ไม่ซับซ้อน (เน้น ไม่ซับซ้อนมาก) เนื่องจากทุกอย่างถูกกำหนดไว้อย่างอัตโนมัติแล้วนั้น BigCommerce ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่เหมาะสมกับคุณ จุดเด่นของ BigCommerce คือ “ความยืดหยุ่น” คุณสามารถใช้เป็นรูปแบบของ SaaS (Software as a Service) หรือ จะใช้เป็นช่องทางการจัดจำหน่าย (บริหารจัดการช่องทางการขายทั้งหมดจากจุดเดียว) และคุณยังสามารถใช้ร่วมกับ CMS /หรือระบบพัฒนาเว็บไซต์ที่คุณเลือก (เป็นปลั๊กอินใหม่ที่จะทำให้การเชื่อมต่อระหว่างเว็บไซต์ของคุณไปยังเว็บไซต์อื่นๆได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น)
3. Shopify
คุณอาจคุ้นหูกับชื่อของเขามาบ้างแล้ว Shopify ได้กลายมาเป็นแบรนด์ยักษ์ใหญ่ในด้านการทำเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 29 $ ต่อเดือน คุณก็สามารถเปิดใช้บัญชีพื้นฐานได้แล้ว และสำหรับลูกค้าองค์กรที่มีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้นและยังไม่มีประสบการณ์ คุณสามารถใช้เครื่องมือเพื่อช่วยในการจัดการสินค้าบน Amazon,eBay และ Facebook นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เก็บข้อมูลการขายสินค้าอย่างละเอียดอีกด้วย ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือราคาจะขึ้นอยู่กับการเลือกตัวเลือกต่างๆเพื่อให้เหมาะสบกับการดำเนินธุรกิจของคุณ หากแบรนด์ของคุณเพิ่งเริ่มต้นและกำลังเติบโต ปัญหานี้อาจจะทำให้คุณไม่สามารถขยายร้านค้าได้ตามต้องการเนื่องจากอาจจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่คุณคาดการณ์ไว้ โดยตัวเลือกต่างๆที่คุณต้องการซื้อเพิ่มนั้น ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ยั่วยวนใจคุณมากทีเดียว
4. BigCartel
คุณเป็นเจ้าของแบรนด์ที่มีความคิดสร้างสรรค์สุดๆใช่หรือไม่ ? ในบางครั้งคุณอาจจะอยากทำเครื่องประดับหรือเพ้นท์งานศิลปะขาย หรือถ้าคุณเป็นเจ้าแม่แฟชั่นโบฮีเมียน BigCartel นั้นอาจจะเหมาะกับคุณ เพราะเขาถูกสร้างขึ้นจากศิลปินและผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ในหัวใจ โดยมุ่งเป้าไปที่แบรนด์ขนาดเล็ก ในขณะที่แพลตฟอร์มอื่นๆมีตัวเลือกให้ปรับแต่งได้หลากหลาย แต่ก็มักจะมีคุณสมบัติที่มากเกินไปและไม่ได้เกี่ยวข้องกับแบรนด์ของตนเอง BigCartel จึงเป็นแพลตฟอร์มที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา โดยที่จะไม่เน้นถึงการขยายตัวและการเจริญเติบโตของธุรกิจของคุณ แถมยังใจดีเปิดให้แต่ละแบรนด์จำหน่ายสินค้าได้ฟรี 5 ผลิตภัณฑ์ และถ้าใครอยากจำหน่ายมากกว่านั้นก็สามารถควบคุมจำนวนสินค้าที่จะขายได้ เพื่อให้อยู่ในงบประมาณที่คุณมี
5. WooCommerce
เป็นปลั๊กอินอีคอมเมิร์ซแบบโอเพนซอร์สที่ปรับแต่งไว้ได้อย่างสมบูรณ์สำหรับ WordPress…
อาจเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากในระดับหนึ่ง สำหรับเจ้าของแบรนด์ขนาดเล็กที่กำลังมองหาการทำงานร่วมกันกับ WordPress จุดขายที่โดดเด่นของ WooCommerce คือ การ support โดยมีชุมชนนักพัฒนาซอฟแวร์ขนาดใหญ่ และปลั๊กอินที่หลากหลายทำให้การเพิ่มฟังชั่นต่างๆ เป็นเรื่องง่ายมีทั้งรูปแบบที่ฟรี และเสียเงิน(ในบาง Plugin) ผู้ที่ใช้ WordPress จะทราบดีว่าปลั้กอินหลายตัวอาจจะทำงานไม่ปกติ และส่งผลเสียทำให้ทำงานช้าลง และส่งผลต่อความปลอดภัยของเว็บไซต์ด้วย
6. Squarespace
ถ้าคุณเป็นนักฟังพอดแคสต์ คุณอาจจะเคยได้ยิน Squarespace เพราะดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้สนับสนุนพอดแคสต์ยอดนิยมทุกเจ้า ตัว Squarespace เองนั้น พวกเขาเหมือนเป็น WordPress หน้าใหม่ เขาสร้างระบบขึ้นมาแบบง่ายๆ เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย และสามารถปรับแต่งลูกเล่นแม้จะเป็นเพียงผู้เริ่มต้นที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการสร้างเว็บไซต์ก็ตาม แต่สิ่งที่ทำให้ดูแตกต่างจาก WordPress คือ การเน้นไปที่การเริ่มต้นสร้างแบรนด์และจำหน่ายสินค้า โดยไม่ได้มีตัวเลือกและระบบการทำงานหลังบ้านที่ซับซ้อน และการคว้าตัวพระเอกชื่อดังอย่าง เคอานู รีฟส์ มาเป็นพรีเซนเตอร์นั้น อาจจะทำให้คุณตกลงปลงใจใช้มันได้ง่ายขึ้น
7. Demandware
ในปัจจุบันการซื้อขายออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งที่ต้องทำ Statista ได้บอกถึงสถิติที่น่าสนใจไว้ว่า ในปี 2017 ตลาดการซื้อขายออนไลน์มีมูลค่าถึง 156 พันล้านเหรียญสหรัฐ Demandware เป็นแพลตฟอร์มการสร้างร้านค้าบนมือถือที่มีกลยุทธการจัดการธุรกิจร้านค้าออนไลน์ของคุณให้ง่ายขึ้น นอกจากนี้เขายังมีตัวช่วยต่างๆ อีกมากมาย แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง ADIDAS และ GoPro ก็ใช้บริการของ Demandware ด้วย
8.YoKart YoKart
เป็นระบบที่มีผู้ค้าหลายรายมารวมตัวกัน เป็นที่รู้กันดีว่า YoKart นั้นยอดเยี่ยมในเรื่องของตัวเลือกการชำระเงิน คุณสามารถเลือกชำระผ่านบัตรเครดิต, E Wallets, โอนเงินผ่านธนาคาร หรือบริการเก็บเงินปลายทาง ซึ่งสองรายการอย่างหลังนั้นจะเห็นได้ไม่บ่อยสำหรับร้านค้าขนาดเล็ก โดยเฉพาะฟีเจอร์บริการเก็บเงินปลายทาง ซึ่งยังไม่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ขายออนไลน์ แต่ก็อาจจะเป็นทางเลือกให้กับร้านค้าอื่นๆ โดยขึ้นอยู่กับสินค้าที่ขาย นอกจากนี้คุณยังสามารถถอนคำขอ ในกรณีมีการขอเงินคืนหรือการซื้อขายผ่านตัวแทนจำหน่าย สำหรับการชำระเงินออนไลน์นั้นก็สามารถใช้ได้กับเกตเวย์หลักๆได้ทั้งหมด อาทิ Paypal, Amazon, Stripe, PayU และอื่นๆ
9.Volusion
บางคนที่อ่านข้อความนี้อยู่อาจรู้สึกสับสนเล็กน้อย เกี่ยวกับกระบวนการในการเปิดร้านและสร้างร้านค้า ไม่มีอะไรง่ายๆและทำได้แบบรวดเร็วเหรอ ? Volusion อาจจะเป็นแพลตฟอร์มเหมาะสำหรับคุณ คุณสามารถสร้างร้านค้าของคุณได้ภายในไม่กี่นาที สามารถแก้ไขตั้งค่าเมื่อใดก็ได้ตามที่คุณต้องการด้วยการควบคุมจากจุดเดียว หลักการทำงานขึ้นอยู่กับการประมาณการยอดขายที่คุณจะได้รับ
10. VTEX
VTEX เสนอรูปแบบแพลตฟอร์มด้วยการกำหนดราคาตามความต้องการโดยพิจารณาจากส่วนแบ่งรายได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาผลกำไรหลักหมื่นขึ้นไป VTEX ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณไม่ได้เป็นนักธุรกิจหน้าใหม่ และต้องการแพลตฟอร์มใหม่ๆเพื่อให้ธุรกิจเติบโตมากยิ่งขึ้น
จากประสบการณ์ของแอดมินที่ได้อยู่ในวงการ Digital Marketing และการพัฒนาเว็บไซต์ Platforms ต่างๆ มากกว่า 10 ปี แอดมินมองว่าแต่ละระบบมีความสามารถคล้ายๆกันในเรื่องของ Process การทำงาน เช่น เมื่อลูกค้ามาเยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์ของเรา > เลือกช้อปสินค้าที่ต้องการ > ดูรายละเอียดสินค้า (เช่น ราคา ขนาด รูปแบบ ) > ตัดสินใจสั่งซื้อ > กรอกที่อยู่สำหรับจัดส่งสินค้า > ดูช่องทางการชำระเงิน > ยืนยันการชำระเงิน > รอรับสินค้า
ทั้งหมดนี้เป็น Process ของเว็บไซต์ Ecommerce ที่มีมาตรฐานเดียวกันหมด… แต่สิ่งที่แตกต่างกันแต่ละ Platforms นั้น คือ ความต้องการของผู้ใช้งาน เช่น ต้องการระบบใหญ่ เชื่อมต่อกับระบบหลากหลาย แนะนำเลือกใช้ Magento เพราะเป็นระบบที่ยืดหยุ่น สามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ แต่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญจริงๆ หากต้องการระบบที่เล็กรองลงมา และปรับแต่งง่าย ก็จะเป็น Shopifly , Woocommerce , Big Commerce เป็นต้น เพราะฉะนั้นแล้ว ระบบที่ดีที่สุดมันขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้มากกว่า ว่าต้องการแบบไหน…
Rrf : smallbiztrends.com
บริษัทมีแนวทางการพัฒนาเว็บไซต์ การตลาดออนไลน์ ที่เน้นคุณภาพ สร้างผลลัพธ์ได้จริง เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต ในโลกออนไลน์ พวกเรายินดีให้คำปรึกษา พร้อมวางแผนกลยุทธ์ภายใต้โจทย์ทางธุรกิจที่ชัดเจน