Magento สุดยอด E-commerce Platform
Platform สำหรับการสร้างเว็บขายของออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด และเป็น Platform อันดับต้นๆที่นำมาใช้ในการสร้างร้านค้าออนไลน์ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ล้วนแล้วถูกสร้างและพัฒนาขึ้นมาจากแพลตฟอร์มที่มีชื่อว่า Magento
ปัจจุบัน Adobe เข้าซื้อกิจการของ Magento โดยการซื้อกิจการครั้งนี้ใช้เงินจำนวน 1,680 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คาดจะมาช่วยเติมเต็มในเรื่อง E-Commerce Platform ทั้งในฝั่ง B2B และ B2C ที่ Adobe ยังขาดตรงนี้อยู่
เป้าหมายของ Adobe คือผนวก Magento เข้ามาอยู่ใต้ร่ม Adobe Experience Cloud (ชื่อเดิมคือ Adobe Marketing Cloud) หนึ่งในสามบริการหลักของบริษัท นอกเหนือจาก Creative Cloud และ Document Cloud
การสร้างหน้าร้านออนไลน์ในปัจจุบันก็มีผู้ให้บริการธุรกิจเว็บไซต์สำเร็จรูปเกิดขึ้นมาก แต่วันนี้หนึ่งในนั้นเรากำลังอยากจะแนะนำให้คุณรู้จักกับ Magento (ซึ่งเป็นปัจจุบันเป็นเวอร์ชั่น 2) เป็นระบบที่เรียกว่า CMS หรือจะเรียกง่ายๆ ระบบจัดการข้อมูลบนเว็บไซต์ ที่ใช้เฉพาะการทำ E-commerce (เว็บขายของออนไลน์) เพราะมีฟังชั่นการใช้งานที่ครบถ้วน
Magento คือ อะไร ?
Magento เป็นระบบจัดการเนื้อหาบนเว็บไซต์ (Content Management System – CMS) ตัวหนึ่ง ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อการทำ E-commerce โดยเฉพาะ ซึ่ง CMS ที่ออกแบบสำหรับ E-commerce ในปัจุบันก็มีหลายตัว เช่น Woocommerce, Joomla Virture Mart, OsCommerce, PrestaShop, OpenCart เป็นต้น ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีเอกลักษณ์หรือการใช้งานแตกต่างกันออกไป แต่สำหรับ Magento นั้นถูกออกแบบมาเพื่อการทำระบบ Ecommerce โดยเฉพาะ จึงทำให้ทุกฟังชั่นการทำงานรองรับได้หมด ไม่ว่าความต้องการจะซับซ้อนมากแค่ไหน Magento ก็สามารถปรับแต่งได้เสมอ และอาจจะเป็น Plateform เดียวที่ระบบการทำงานครอบคลุม และสามารถตอบสนองต่อความต่อการของลูกค้าได้ ตั้งแต่ระบบการจัดการหน้าบ้าน และหลังบ้าน
Magneot มีรูปแบบหรือ theme ให้เราได้นำมาใช้งานมากมาย โดยสามารถโหลดแหล่งรวมธีมระดับโลกมาใช้ได้ที่ Themeforest.net
Magento เหมาะกับใคร ?
การสร้างเว็บไซต์นั้นไม่ได้มีราคาถูกๆ แถมยังมีซอฟท์แวร์อีกมากมายให้เลือกใช้ในท้องตลาด แล้วแบรนด์ที่กำลังเริ่มปรับตัวเข้าสู่ตลาดออนไลน์ จะสามารถตัดสินใจไม่ให้พลาดได้ยังไง เพราะการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับแบรนด์นั้นจะทำให้แบรนด์สามารถเติบโตไปได้อีกไกล แต่หากตัดสินใจผิดแล้ว ก็จะต้องสิ้นเปลืองทั้งแรงงาน แรงเงิน และเวลาในการรักษาระบบที่ไม่เหมาะสมนั้นไว้
Magento จะเหมาะสมกับธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ และแบรนด์สินค้าระดับโลก อย่าง Nike และแบรนด์แฟชั่น สัญชาติไทยอย่าง CPS ก็ใช้แพลตฟอร์ม Magento เช่นกัน
โดยทั่วๆไปแล้วสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือกลางนั้นจะใช้ Magento Community เป็นเวอร์ชั่นที่เปิดให้โหลดไปใช้กันฟรี (Opensource) แต่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมหากต้องโหลด extensions มาเสริมลูกเล่นให้กับเว็บไซต์
Magento มีกี่แบบ ?
Magento นั้น แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
- Magento Community เป็นแบบให้โหลดมาใช้ฟรี หรือที่เรียกว่า Open Source ซึ่งจะเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง แต่ต้องมีคนที่มีทักษะด้านการเขียนโปรแกรม และอ่าน Code ได้ เพราะว่าตัวฟรีนั้น จะมี Bug ให้เข้ามาปวดหัวและให้แก้ไขอยู่ตลอดเวลา จึงต้องอาศัยคนดูแล
- Magento Enterprise เป็นแบบต้องจ่ายเงิน ราคาเริ่มต้นที่ 20,000 ดอลล่าร์สหรัฐต่อปี (รวมค่าฟังก์ชั่น abandon cart และการช่วยเหลือ) ซึ่งจะเหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งตรงนี้จะมีทีมของ Magento คอย Support ให้อยู่ตลอดเวลา
หลักๆแล้ว ทั้ง Magento Community และ Magento Enterprise ค่อนข้างจะคล้ายกัน ต่างกันตรงที่ Magento Enterprise จะต้องจ่ายค่ารายปี ปีละ 20,000 ดอลล่าร์สหรัฐ และจุดต่างที่สำคัญอีกจุดหนึ่งคือ Magento Community ไม่มีระบบรักษาระดับสูงสำหรับป้องกันช่องทางในการชำระเงิน และความปลอดภัยอื่นๆ อย่างที่ Magento Enterprise มี
แต่ Extensions ต่างหากที่จะทำให้เกิดข้อแตกต่างที่ชัดเจนว่าเว็บไซต์ของคุณจะทำอะไรบ้าง ไม่ว่ามันจะเป็น Magento เวอร์ชั่นใดก็ตาม
Extensions คือ อะไร ?
คือ ระบบหรือฟังชั่นเสริมในการทำให้เว็บไซต์สมบูรณ์และทำงานได้หลากหลายมากขึ้น นอกเหนือจากที่ระบบพื้นฐานเดิมของ Magento มีมาให้ ถ้าให้เปรียบก็คล้ายๆกับแอพพลิเคชั่นที่คุณโหลดผ่าน Itunes Store, Play Store เวลาที่คุณซื้อ iPhone มา ก็จะมีแอพพลิเคชั่นพื้นฐานอย่าง Notes, Contacts หรือ Camera ที่ติดมากับเครื่องอยู่แล้ว ซึ่งผู้ใช้งานก็มักจะต้องการดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นเพิ่มเติม เพื่อให้ iPhone สามาารถทำหน้าที่ได้หลากหลายมาก ยกตัวอย่าง ถ้าต้องการให้เว็บไซต์สามารถเลือกชำระเงินโดยบัตรเครดิตได้ 2C2P, omise, Kbank เป็นต้น เราก็ต้องติด Etension เสริมเข้าไปเพื่อให้เว็บตัดบัตรเครดิตได้ และยังมีรูปแบบอีกมากมาย
เลือกอะไรดี Magento กับ WordPress ?
ขึ้นอยู่กับสเกลธุรกิจว่าเล็กหรือใหญ่มากแค่ไหน ถ้าระบบใหญ่และมีความซับซ้อนมาก สินค้าเยอะ ต้องการปรับแต่งมาก ให้ความปลอดภัยสูง แนะนำเป็น Magento แต่ถ้าระบบเล็กถึงกลาง สินค้ามีไม่มาก ระบบไม่ค่อยซับซ้อน แนะนำเป็น WordPress
Magento 2
ปัจจุบัน Magento อัปเกรดเป็นเวอร์ชั่น 2 แล้ว ด้วยผลตอบรับที่ดีและได้รับการนิยม จึงทำให้ทีมผู้พัฒนาได้ออกแบบ UX/UI ทั้งหน้าบ้านและระบบหลังบ้านใหม่ทั้งหมด ทางทีมงานจึงขอเปรียบเทียบระหว่าง Magento 1 กับ Magento 2 ตามตารางด้านล่าง
เปรียบเทียบระหว่าง Magento 1 กับ Magento 2
Performance | Magento 2 | Magento 1 |
---|---|---|
Support | – มีการ Support อัปเดทแพตช์ระบบความปลอดภัยต่อเนื่อง – ผลิต Extension ออกมารองรับต่อเนื่อง | – support ถึงเดือน มิถุนายน 2563 – จากนั้นจะหยุดการอัปเดตและปล่อยแพตช์ความปลอดภัย – ไม่ผลิต Extension ให้ออกมารองรับอีก |
Architecture | ขนาดไฟล์ใหญ่กว่า 74.4 Mb | ขนาดไฟล์เล็กกว่า 35.3 Mb |
Performance | รวดเร็วกว่า | ช้ากว่า Magento 2 |
Dashboard | – ระบบบริหารจัดการหลังบ้านใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน – UX/UI สวยงาม | -ระบบบริหารจัดการหลังบ้านใช้งานค่อนข้างซับซ้อน – UX/UI ไม่สวย |
Extensions | Extension อัปเดทล่าสุด และผลิตออกมาต่อเนื่อง | Extension ไม่อัปเดท และไม่ผลิตออกมา |
SEO | รองรับการทำ SEO ได้ดีกว่า | มาตรฐาน SEO ทั่วไป |
UX/UI Experience | รูปแบบธีมสวยงาม ทันสมัย ใช้งานง่ายต่อ End User | รูปแบบธีมล่าสมัย ใช้งานยากต่อ End User |
บริษัทที่มีแนวทางการพัฒนาที่เน้นคุณภาพและมาตรฐานสูงในธุรกิจด้านการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ครบวงจร เรายินดีให้คำปรึกษาและวางแผนกลยุทธ์การจัดทำเว็บไซต์ e-commerce ภายใต้โจทย์ทางธุรกิจที่ชัดเจน และสามารถวัดผลได้ หากคุณต้องการเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่มีคุณสมบัติที่ได้รับความนิยมในตลาดออนไลน์ CLICK-END พร้อมให้บริการคุณแล้ว